วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ความสุขลดลงจริงหรือไม่

พออ่านข้อความนี้แล้วลองคิดตาม ว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ความสุขลดลงจริงหรือไม่ หลายครั้งผมเองก็หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ในยามพักผ่อน ลองนึกดูว่า คนที่ต้องเกาะติดอยู่กับโซเชียลมีเดีย ตลอดจะมีความสุขได้อย่างไร มีเทคนิคดังนี้
1. ใช้โซเชียลมีเดียให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน เว็บโซเชียลมีเดียที่ มีกันอยู่หลากหลายนั้น ต่างมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น เฟซบุ๊ค สามารถสื่อสารได้ทั้งตัวอักษรและรูปภาพ หรือบริการบล็อกสั้นอย่างทวิตเตอร์นั้น ใส่ได้เฉพาะตัวอักษร หากมองกันดีๆ ทวิตเตอร์ ไม่สูบพลังงานมากเท่าเฟซบุ๊ค
2. ใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ลองใช้ความสามารถ ความรู้ หรือประสบการณ์ของคุณที่มีอยู่ นำไปตอบคำถามของเพื่อนๆ หรือบางครั้งตอบให้กับคนที่ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งการทำแบบนี้ก็จะทำให้รู้สึก ว่า สามารถช่วยเหลือคนอื่นในเรื่องที่ตนเองถนัด บางครั้งอาจไม่ใช่แค่การตอบคำถาม แต่เป็นการช่วยบอกต่อ เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น
3. ใช้สอบถามความคิดเห็น ที่ตัดสินใจไม่ถูกว่า จะเลือกทางไหนดี ให้ลองเขียนลงบนเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ ถามไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านั้น บางครั้งก็จะได้คำตอบที่ดีเกินคาด
4. ใช้ระบบส่งข้อความแบบส่วนตัวเพื่อสื่อสารเรื่องธุรกิจ ลองหันมาใช้ direct message ในทวิตเตอร์ หรือส่งข้อความส่วนตัวไปในเฟซบุ๊ค บางทีเพื่อนๆ หรือคนที่ติดตามอ่านเฟซบุ๊คของคุณอยู่ อาจอยากรู้ว่าคุณทำธุรกิจอะไร ที่ไหน บางครั้งเขาอาจกำลังมองหาคู่ค้าที่คุณถนัดอยู่พอดี หรือหากติดต่อสื่อสารกันไปได้จนสนิทสนม อาจสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจได้
5. ใช้เพื่อให้มีเพื่อนคอยปรึกษา หลายครั้งที่เราเกิดความเครียดจากการทำงาน หรือเรียน อาจใช้ทวิตเตอร์หาเพื่อนคุย ต้องระวังว่าอย่าเผลอไปใช้ข้อความที่หยาบคายหรือฟังดูแรงนะครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะย้อนมาทำร้ายตัวเราได้ในอนาคต เช่น ตอนสมัครงาน เดี๋ยวนี้บางบริษัทมีการแอบไปอ่านเฟซบุ๊คของคนมาสัมภาษณ์ก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อเรียนรู้ตัวตนของผู้สมัครที่บางครั้งอาจไม่สามารถสอบถามได้หมดในระยะ เวลาสัมภาษณ์นัดไว้ เป็นต้น
6. ใช้เพื่อหาเพื่อนใหม่ ผมต้องสารภาพก่อนเลยว่าผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายคนผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเพื่อนเหล่านี้ก็สนใจในเรื่องราวที่ผมสนใจเช่นกัน การพบเจอเพื่อนใหม่ ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องออกไปพบเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เสมอไป แต่บางทีการรู้จักการผ่านรูปภาพและตัวอักษร ก็ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ง่ายขึ้น มากขึ้น โดยไม่รู้ตัวเชียวครับ
7. ใช้เพื่อหาข้อมูลความรู้ใหม่ ผมมักจะใช้ฟังก์ชันบุ๊คมาร์ค หรือ Add Favorite ของทวิตเตอร์อยู่บ่อยๆ เพราะเมื่อเราพบเห็นข้อความที่ดีๆ หรือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ผมก็จะรีบบุ๊คมาร์คเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยมาอ่านในภายหลังหากในขณะนั้นเรายังไม่ว่าง ซึ่งผมได้ข้อมูลในการทำงานหลายครั้งจากความพยายามที่จะ Add Favorite ข้อความที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
ลองนำไปใช้กันดูนะครับ หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ทุกท่านสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าง มีความสุขตลอดปี 2554 และต้องขอขอบคุณภาพประกอบโดย FasTake ด้วยครับ สุดท้ายนี้ ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้อ่าน แม้ว่าจะได้มาสวัสดีช้าไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม
ขอบคุณที่มา : http://www.bangkokbiznews.com

บทความโจรอินเตอร์เน็ต...

บทความโจรอินเตอร์เน็ต...

ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว

Online Social Networking : อาวุธลับสำหรับธุรกิจล้ำสมัย!!!

Online Social Networking : อาวุธลับสำหรับธุรกิจล้ำสมัย!!!
ณ วันนี้ นักธุรกิจหลายท่าน คงเริ่มเล็งเห็นอิทธิพลของปรากฎการณ์หนึ่งในโลกไซเบอร์นั่น คือ online social networking หรือ เน็ตเวิร์กทางสังคมออนไลน์ คือ การรวมตัวกันของผู้เล่นเน็ตเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเข้มข้น จนสร้างเป็นชุมชนออนไลน์ที่จะนำไปใช้กับการดำเนินงานของกิจการ
เวปไซด์ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้น Facebook Youtube Linkedin หรือ Digg เป็นต้น ซึ่งมีผู้ที่เข้ามาร่วมในเน็ตเวิร์กนี้ นับเป็นล้าน ๆ จนเป็นอาวุธลับทางธุรกิจที่ทรงพลังของหลาย ๆ กิจการ
แต่ยังมีคำถามว่า แล้ว social networking เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ในเบื้องต้นอาจจะกล่าวได้ว่า เน็ตเวิร์กนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยสร้างความ สัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการในหลากหลายมุมมองได้ อาทิ ลูกค้า คู่ค้า หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่อาจจะเข้ามาให้ความคิดเห็นและมุมมองใหม่ ๆ กับกิจการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นต่อไปใน อนาคต
เน็ตเวิร์กนี้จึงมักเป็นเทคนิคที่ใช้เสริมเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ที่กิจการมีอยู่แล้ว ซึ่งมักจะเป็นการผลักดันให้เวปไซด์ของกิจการมีปริมาณการเข้าใช้บริการมาก ขึ้น ได้ข้อมูลต่าง ๆ สำหรับการตอบสนองและกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ สร้างความคุ้นเคยผูกพันและความภักดีต่อกิจการ สอบถามข้อมูลความคิดเห็นกับผลิตภัณฑ์หรือบริการและสำหรับสารพัดกิจกรรมในการ ทำตลาดการตลาดออนไลน์ต่าง ๆ อย่างได้ผล
คุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้เน็ตเวิร์กทางสังคมนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีลักษณะของการเป็น viral นั่นคือสามารถแตกตัวเติบโตและถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชนต่าง ๆ ได้อย่ารวดเร็ว คล้ายกับกลยุทธ์แบบปากต่อปาก (word of mouth) แต่สามารถออนไลน์เรียลไทม์ทันทีทันใด แถมยังเป็นลักษณะแบบสองทางที่ผู้บอกและผู้รับข่าวสารสามารถพูดคุยซักถามกัน อย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ยิ่งมีความเชื่อถือสูงมากขึ้นไปอีก ก่อให้เกิดผลกระทบทางการส่งเสริมการตลาดอย่างมาก
นอกจากนี้ยังช่วยให้เจาะกลุ่มเฉพาะเจาะจงได้อย่างตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ของกิจการอีกด้วย เนื่องจากแต่ละกลุ่มก้อนเน็ตเวิร์กนั้นล้วนแล้วแต่มีลักษณะเฉพาะตัวที่จะดึง ดูดให้กลุ่มคนที่มีลักษณะร่วมบางอย่างเข้ามาปฏิสัมพันธ์กัน
อาทิ www.linkedin.com ที่เป็นเหล่งร่วมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในแต่ละวงการเอาไว้มากมาย โดยผู้ที่จะเข้าร่วมในเน็ตเวิร์กดังกล่าวจะต้องกรอกแบบฟอร์มคุณสมบัติต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้เสมือนหนึ่งเข้าสมัครงานตามกิจการใหญ่ ๆ ทีเดียว ซึ่งเมื่อองค์กรใดต้องการสรรหาบุคลากรหัวกะทิในแต่ละด้าน หรือแม้แต่ต้องการเลือกสรรพันธมิตรธุรกิจที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ องค์กรก็สามารถเข้ามาติดต่อได้จากภายในเน็ตเวิร์กดังกล่าวได้
ประโยชน์ของเวปเน็ตเวิร์กนี้เรียกว่า เป็นการนำเอากลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) คือการที่กิจการเข้าถึงและนำไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก เข้ามาร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกิจการได้อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยสำรวจตลาดแบบดั้งเดิม

คัดลอกมาจากคอลัมแยบยลกลยุทธ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ผู้เขียนบทความ รศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค

อินเทอร์เน็ต : บทบาทต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทยในอนาคต

อินเทอร์เน็ต : บทบาทต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทยในอนาคต
         ธารพรรษ สัตยารักษ์ ผู้ช่วยอธิการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่ได้ให้ความกรุณา มาสร้างสรรค์พื้นที่หน้ากระดาษตรงนี้ให้มีความหลากหลายโดยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ อินเทอร์เน็ตเพื่อการพัฒนาการศึกษาในประเทศไทย ที่มีความเคร่งขรึมในเนื้อหาและการนำเสนอ แต่นับว่าน่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในวงการการศึกษาของไทยไม่น้อยทีเดียว *********************************************
         เมื่อ วันอาทิตย์ที่16 มกราคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้ารับฟังการบรรยายโดย ท่าน ดร. รุ่ง แก้วแดง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ในหัวข้อ " บทบาทครูยุคใหม่ กับ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ" ณ วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่ แม้ว่าผมจะไม่เชี่ยวชาญ หรือ สันทัดในเรื่องการปฎิรูปการศึกษา แต่หลังจากการ บรรยาย ผมได้เข้าใจในเจตนา และเนื้อหาของ พรบ. ฉบับนี้มากยิ่งขึ้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดใน พรบ. ฉบับนี้ อยู่ในหมวด 4 ซึ่งครูจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนจากครูเป็นศูนย์กลางมาเป็นการสอนโดยนัก เรียนเป็นศูนย์ กลาง นั่นคือจะต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและนัก เรียน การสอนจะต้องเป็น ไปในลักษณะการฝึกให้นักเรียนเรียนจากสภาพจริง ฝึกให้ปฎิบัติจริงมากกว่าที่จะสอนแบบให้เด็กท่องจำ พรบ. ฉบับนี้ให้ความสำคัญการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการศึกษาไม่ใช่เสร็จสิ้นหลังจากที่ผู้เรียนได้รับใบประกาศ นียบัตร หรือ ปริญญาบัตร พรบ. ฉบับนี้จะมีผลกระทบต่อคนไทยทั้ง 60 ล้านคน และท่าน ดร. รุ่งได้คาดหวัง ว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปีนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ผมมองเห็นว่า (และมีความหวังว่า) ในอนาคตข้างหน้า เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยี (Internet and Technology) มาช่วยในการปฏิรูปวิธีการเรียนการสอนได้ เพราะอินเทอร์เน็ต ได้สร้างโอกาสและมีจุดเด่นในหลายด้านในการส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ไม่สามารถทำได้เช่นในอดีต โดยผมจะ มองวิธีการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้ อินเทอร์เน็ตส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนให้หลากหลาย ตรงกับความสนใจและความถนัดของผู้ เรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเรียนและพัฒนาได้เต็มศักยภาพ วิธีการสอนในอดีตและปัจจุบันเป็นการสอนให้นัก เรียนทุกๆ คนเรียนเหมือนๆ กัน และถ้าเรายังใช้วิธีการสอนอย่างนี้เรื่อยไป ในอนาคตเราจะไม่สามารถสร้าง บุคคลอัจฉริยะในแต่ละด้านได้ เพราะการจัดการศึกษาแบบนี้เปรียบเหมือนการสอนนักเรียนที่เรียกว่า "Mass Education" ซึ่งไม่ได้สร้างจุดเด่นให้เกิดในตัวผู้เรียนแต่ละบุคคล แต่อินเทอร์เน็ตที่ประสบความสำเร็จ ในทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมาความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และสามารถตอบสนองความต้องการให้ แต่ละบุคคลที่เราเรียกกันว่า "Customization" เหมือนเช่น บริษัท Dell Computer สหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบ ความสำเร็จอย่างสูงในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอุปกรณ์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ (Specification) ตามความต้อง การของผู้บริโภคแต่ละคน วิธีการดังกล่าวนี้น่าจะมีรูปแบบซึ่งสามารถนำไปปรับเปลี่ยนเพื่อใช้ในการ ปฏิรูป การศึกษา โรงเรียนในอนาคตจะต้องเปิดวิชาเลือกเสรีให้ผู้เรียนมากขึ้น นักเรียนชายไม่จำเป็นจะต้องมานั่ง เรียนเย็บปักถักร้อยเหมือนแต่ก่อน (แต่ถ้ามีนักเรียนชายบางกลุ่มอยากเรียน ก็คงไม่มีใครห้าม) เป็นต้น แต่นักเรียนจะมีสิทธิในการเลือกเรียนในวิชาที่ตนสนใจ และถนัด และโรงเรียนจำเป็นจะต้องสนับสนุนให้ นักเรียนผู้นั้นพัฒนาเต็มตามศักยภาพ มาลองดูสิครับว่า อินเทอร์เน็ตจะช่วยเราได้อย่างไร โรงเรียนในอนาคต (สำหรับบางประเทศได้มีโรงเรียนอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว) จะต้องสร้างเครือข่ายการ เรียนรู้ให้กว้างออกไปมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน ห้องสมุดของโรงเรียนเท่านั้น การเรียนจะต้องออก ไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง หากแต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายเช่นนั้น อย่างไรก็ตามอินเทอร์เน็ตได้ช่วยให้ นักเรียนได้เห็น ได้เรียนรู้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น(ถึงแม้จะไม่มากที่สุด) เพราะเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) ได้ช่วยให้เห็นภาพเคลื่อนไหว ได้ยินเสียง แม้จะไม่สัมผัส ได้กลิ่น หรือ ลิ้มรสได้ ที่สำคัญมัลติมีเดียได้สร้างความบันเทิงในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เหมือนอย่างที่ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้พูดถึงคำว่า Play + Learn = เพลิน ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน มัลติมีเดียได้สร้างปรากฏ การณ์ที่เราเรียกว่า "Interactive" หรือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสื่อการสอนหรือกับผู้เรียนคนอื่นๆ ทำให้ ผู้เรียนสนุกและเพลินกับการเรียนรู้ เพราะว่าเขาไม่ได้ถูกยัดเยียดให้ท่องจำในสิ่งที่เขาไม่สนใจ แต่ได้เรียน ได้ค้นคว้าในสิ่งที่เขาสนใจ ตัวอย่างสมมติ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียนคนหนึ่งอาจจะสนใจเรื่อง วิวัฒนาการของเครื่องบิน ครูวิทยาศาสตร์ที่ดีคนหนึ่งก็พยายามอธิบายกลไกการทำงานของเครื่องบินว่าบิน ได้อย่างไร เมื่อนักเรียน เริ่มเข้าใจดีแล้ว เขาก็จะถามต่อไปยากขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณครูผู้ใจดีอาจจะไม่สามารถตอบได้ดีนัก อย่างไรก็ ตามที่โรงเรียนแห่งนั้นมีการให้บริการอินเทอร์เน็ต ครูคนดังกล่าวจึงแนะนำให้นักเรียนให้เข้าไปศึกษาใน เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบิน ซึ่งครูได้รวบรวมมา แล้วก็ให้นักเรียนคนดังกล่าวทำการค้นคว้า และ ให้ทำรายงานสรุป เมื่อผู้เรียนได้เข้าไปศึกษาในเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็ ได้เห็นภาพเคลื่อนไหว กลไกการทำงาน ต่าง ๆ ซึ่งยากจะอธิบายโดยปากเปล่า เมื่อคลิกไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องบินก็จะมีคำบรรยาย นอกจากนี้ยัง ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ที่จัดทำเว็บไซต์ หรือผู้เรียนจากทั่วทุกมุมโลก ใน Forum หรือ Web Board กระบวนการเรียนการสอนแบบนี้จึงเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์ กลาง โดยมีครูเป็นผู้คอยชี้ แนะแนวทาง เป็นผู้ช่วยแก้ปัญหา ชี้ทางสว่างให้กับเด็ก และมีวิธีการประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้อย่าง เหมาะสม ณ โรงเรียนแห่งเดิม ในชั่วโมงสันทนาการหรือชั่วโมงว่าง นักเรียนคนหนึ่งซึ่งเป็นเซียนหมากรุกที่เก่ง ที่สุดในโรงเรียน ได้รับคำแนะนำจากคุณครู ให้นักเรียนลองเข้าไปแข่งหมากรุกผ่านทางอินเทอร์เน็ตร่วมกับผู้ เล่นจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการพัฒนาสมองของผู้เล่นให้เข้าใกล้ศักยภาพมากที่สุด และที่สำคัญเป็นการสอนให้นักเรียน รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เพราะไม่มีวันที่นักเรียนผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดไป ซึ่ง ถือว่าคุณครูได้สอดแทรกจริยธรรมให้กับผู้เรียน และตรงกับเป้าหมายของพรบ. ที่ต้องการให้ครูปลูกฝังจริย ธรรมในทุกวิชาที่สอน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนในอนาคตที่ผมคาดหวัง จะยังคงมีอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนเดิม ไม่ว่าคุณครู เพื่อน ๆ ห้องเรียน สนามกีฬา และอื่น ๆ เพราะการเรียนผ่านทางจอคอมพิวเตอร์ไม่อาจจะมาทดแทนการเรียน ในโรงเรียน ได้ในทุก ๆ เรื่อง หรือ ทุก ๆ โอกาส มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จะต้องมีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น นอกจาก นี้การเรียนรู้ในหลาย ๆ เรื่อง จำเป็นต้องมีการปฏิบัติ มีการฝึกในสถานที่จริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่นการทดลองในวิชาทางวิทยาศาสตร์ หรือ การเล่นฟุตบอล (การเล่นเกมส์ฟุตบอลในคอมพิวเตอร์ คงไม่ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หรือให้เหงื่อออกได้เท่ากับเล่นในสนามจริง) ดังที่กล่าวมาแล้วว่าโรงเรียนในอนาคตจะมีวิชาให้เลือกเรียนหลากหลายมากขึ้น วิธีหนึ่งที่จะสนับสนุน หลักการดังกล่าวก็คือ การเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต ระหว่างโรงเรียนทุกแห่ง ตลอดจนชุมชนความรู้ เช่น กลุ่ม เกษตรกร กลุ่มนักประพันธ์ หรือแม้กระทั่งสถานประกอบการต่าง ๆ และสร้างระบบการเรียนการสอนผ่านทาง อินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) ซึ่งจากที่โรงเรียนแห่งหนึ่งเคยมีครูแค่ 30-40 คน จะกลายเป็นมีครูนับแสน นับล้านคน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าปริมาณมากเช่นนี้จะทำให้การเรียนการสอนมี คุณภาพมากขึ้น หากแต่เพียงเป็นการเพิ่มโอกาสให้มีการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้เชี่ยวชาญใน แต่ละด้านหรือที่อาจะเรียกว่า "ครูแห่งชาติ หรือ ครูต้นแบบ" ไปสู่ครูและนักเรียนทั่วประเทศ โรงเรียนในอนาคตจะมีการกำหนด คาบการเรียนผ่านระบบดังกล่าว และนักเรียนสามารถเข้ามาเลือกเรียนวิชาต่าง ๆ มากมาย ด้วยความเต็มใจ และพอใจ โดยมีครูจากสถาบันที่อยู่ไกลออกไปเป็นผู้ให้ความรู้ ให้งานกับนักเรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเมินผล ขณะที่ครูในโรงเรียนเดียวกับนักเรียนคนนั้นจะมีลักษณะเป็นเหมือนผู้อำนวย ความสะดวก ประสานงานกับครูจากห้องเรียนเสมือน และ เป็นครูที่ปรึกษาของนักเรียน หากท่านใดสนใจระบบการเรียน แบบห้องเรียนเสมือนนี้ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ http://vhs.concord.org ซึ่งเป็น โครงการ Virtual High School ในสหรัฐอเมริกา ครูทุกคนโปรดอย่ากังวลว่า เทคโนโลยีจะมาทดแทนท่านได้ อินเทอร์เน็ตจะเป็นเพียงแหล่งข้อมูล และ ชุมชนบน Cyber Space อินเทอร์เน็ตอาจจะเปรียบดั่งห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือหนังสือเล่มที่ใหญ่ที่สุด ในโลก แต่ก็มิอาจจะมาชดเชยกับมันสมองมนุษย์ได้ มิอาจจะมาทดแทนกับความทุ่มเทกายใจ ความรักที่มีต่อ ศิษย์หรือ คุณค่าของความเป็นครูได้ ที่สำคัญครูคือผู้ที่คอยอบรมบ่มนิสัย สร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่ เทคโนโลยีไม่สามารถทำได้ แม้แต่ บิล เกตส์ บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลกและเชื่อมั่นในเทคโนโลยีมากที่สุดคน หนึ่ง ยังกล่าวไว้ในหนังสือ "The Road Ahead" ว่า ไม่มีทางที่เทคโนโลยีจะมาแทนที่ครูได้ หากแต่เป็นเพียง เครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งสำหรับครูในอนาคต อินเทอร์เน็ต ยังมีบทบาทในด้านการสร้างความสัมพันธ์ ที่ดี ระหว่างครูกับผู้เรียนมากขึ้น ทุก ๆ คนทราบ ดีว่า จุดอ่อนของเด็กไทยคือ ความอาย ไม่กล้าแสดงออก โดยเฉพาะในเวลาเรียน ถ้านักเรียนคนไหนยกมือถาม ครู เพื่อน ๆ ก็จะมองหน้านักเรียนคนนั้นเหมือนตัวประหลาด ประกอบกับครูซึ่งสอนโดยยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการเรียนการสอนจึงเป็นไปในลักษณะการสื่อสารแบบทางเดียว และการสอนให้จำมากกว่าสอนให้มีการ วิเคราะห์ และใช้เหตุผล การเรียนการสอนของไทยน่าจะให้ความสำคัญกับการให้คะแนนนักเรียนโดยดูจากการมี ส่วนร่วมในห้องเรียน ให้นักเรียนมีความกล้าในสิ่งที่ควรมากขึ้น โรงเรียนในอนาคต จะมีการให้ E-mail กับผู้ เรียน ครู และ เจ้าหน้าที่ทุกคน สิ่งนี้จะช่วยทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่าง ผู้เรียนกับผู้สอน หากผู้เรียนไม่เข้าใจ ในเนื้อหา หรือ มีเรื่องขอคำปรึกษา จะสามารถเขียน E-mail ติดต่อโดยตรงกับครูท่านนั้น ครูจะช่วยเหลือนักเรียน ได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็คอยกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนมีบทบาทในห้องเรียนมากขึ้นหลังจาก ที่ครูและศิษย์เริ่มมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น นอกจากนี้นักเรียนทุกคน รวมทั้งผู้ปกครอง มีโอกาสติดต่อกับครูใหญ่ ได้ง่ายขึ้น และจะให้ ความคิดเห็น ข้อแนะนำต่าง ๆ เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น อินเทอร์เน็ต มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของ พรบ. การ ศึกษาฉบับนี้ เพราะโรงเรียนในอินเทอร์เน็ต เปิดสอนตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาเรียนและมีหลัก สูตรให้เลือกมากมายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในวัยทำงานซึ่งต้องการเพิ่ม ความรู้ความสามารถในสายงานที่ ตนเองรับผิดชอบ รวมทั้งผู้สูงอายุซึ่งอยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น เรียนการทำอาหารใหม่ ๆ ให้หลาน ๆ รับประทาน ซึ่งถือว่าเป็นความสุขอีกแบบของผู้สูงอายุ หากท่านสนใจลองเข้าไปชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.smartplanet.com หรือที่ http://www.ecollege.com การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตน่าจะเหมาะสมกับ การเรียนรู้เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมหรือการศึกษาต่อเนื่อง (Continuing Education) และไม่อาจจะมาทดแทนการ เรียนในรั้วโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยได้ เพราะโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย นอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนทาง วิชาการแล้ว ยังเป็นสนามการเรียนรู้ชีวิตการอยู่ในสังคม การทำกิจกรรม การรู้จักบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม การได้ฝึกปฏิบัติจริง และที่สำคัญคือ มีครูผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับศิษย์ และศิษย์ทุกคนก็ต้องการความรักความ ห่วงใยจากครู แต่ครูจะต้องพยายามใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือใหม่ ๆ มาใช้ในการสอน เครื่องมือดังกล่าวไม่ จำเป็นจะต้องเป็นอินเทอร์เน็ต หากแต่เป็นสิ่งใด ๆ ก็ตามที่สามารถหาไดได้ และตอบสนองต่อการความต้องการ การเรียนรู้ของผู้เรียนและพัฒนาผู้เรียนได้เต็มศักยภาพ สุดท้ายนี้ผมขอฝากคำถามไว้กับคุณครู ผู้บริหาร ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องที่เคารพทุกท่านว่า ท่านพร้อมแล้วหรือยังครับกับการปฎิรูปการศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ ที่สุดในรอบศตวรรษนี้ ขอบคุณครับ ผมทราบว่าทุกท่านพร้อมแล้ว
                                                                                                                  

                                                                                                  
อ.ธารพรรษ สัตยารักษ์
ผู้ช่วยอธิการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่
เชิญแสดงความคิดเห็นได้ที่ tharnpas@hcc.ac.th

(จาก หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2543 คอลัมน์ Cyber Being หน้า 32)

เว็บ เซอร์วิส ( Web Service) บริการใหม่บนอินเตอร์เน็ต

เว็บ เซอร์วิส ( Web Service) บริการใหม่บนอินเตอร์เน็ต


กนกวรรณ แสงจันทร์
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่





                ถ้าจะพูดไปแล้ว คนเราในแต่ละวัน มีภาระ หน้าที่มากมาย ในแต่ละบทบาท ไม่ว่าจะเป็นการงาน หรือครอบครัว การแบ่งเวลาให้ลงตัว เหมาะสม เป็นสิ่งที่แต่ละคน จะต้องจัดการและหาจุดที่ดีที่สุดของตนเอง แต่อีกสิ่งที่ขาดเสียมิได้คือการหาความรู้ในแต่ละวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหยุดหาความรู้ หรือหยุดที่จะศึกษา เมื่อนั้นเราก็เหมือนกับคนที่กำลังก้าวถอยหลัง และสำหรับชีวิตคนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันความรู้ที่เราสามารถศึกษาได้ง่าย และใกล้ตัวก็คือเทคโนโลยีแห่งการสื่อสารที่เราเรียกกันว่า อินเทอร์เน็ตนั่นเอง
             
 
               บริการ อย่างหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต ที่คนนักพัฒนาเว็บไซต์ไทยกำลังตื่นตัวที่จะศึกษาและมีเริ่มมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องคือเว็บเซอร์วิส..มันมีข้อดียังไงบ้าง เว็บเซอร์วิสก็คือเว็บที่ให้บริการข้อมูลให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ที่ต้องการข้อมูลนั้น โดยตัวเว็บเซอร์วิส อาจจะมีข้อมูลของตัวเองเพื่อให้บริการ ผู้อื่นอย่างเดียวหรืออาจจะเอาข้อมูลจากเว็บเซอร์วิสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ เว็บเซอร์วิส มาเป็นข้อมูล เพื่อให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ อีกที ก็ได้ ฉะนั้นตัวเว็บเซอร์วิสก็จะช่วยในการติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ โดยอัตโนมัติ เช่นถ้าเราต้องการตรวจสอบเรื่องสกุลเงิน เราก็สามารถเข้าใช้บริการเว็บไซต์ที่ให้บริการเรื่องสกุลเงิน ซึ่งเว็บไซต์นี้ก็สามารถที่จะใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น เว็บเซอร์วิสอื่น ๆ ทั่วโลกที่เกี่ยวกับสกุลเงินนำมาเปรียบเทียบเพื่อให้กับผู้ที่เข้าใช้บริการ อีกทีหนึ่ง ซึ่งการติดต่อจะใช้เทคโนโลยีเดียวกับเวิลด์ไวด์เว็บที่เราใช้กันอยู่ แต่เราจะใช้มาตรฐานที่เรียกว่า SOAP ตัวอย่างถ้าเราเปิดเว็บไซต์ปกติเราจะได้หน้าเว็บ กลับมาเป็นนามสกุล HTML แต่ถ้าเราใช้มาตรฐาน SOAP เราจะได้ข้อมูลกลับมาเป็น XML ในส่วนของการให้บริการเว็บเซอร์วิส ถ้าต่อไปนักเขียนโปรแกรมบนเว็บได้สร้างเว็บในลักษณะเว็บเซอร์วิสทั้งหมดต่อ ไปเราก็จะได้เป็นเว็บเซอร์วิสที่สามารถต่อยอดไปเรื่อย ๆ ขนาดมหึมา และจะทำให้เว็บโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ หรือคนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์จากเว็บเซอร์วิสที่มีอยู่แล้วมากยิ่งขึ้น แต่วันนี้พื้นที่ช่างน้อยเสียเหลือเกิน หากต้องการรู้เรื่อง เว็บเซอร์วิส เพิ่มเติม อย่าลืมติดตามบทความหน้านะคะ

สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้

สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้

        ในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรวมทั้งเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูล (Information and Communications Technology) มีผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กลายเป็น "เศรษฐกิจแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้" (Knowledge-based economy)

        
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างฐานความรู้ในสังคม เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมให้ดีขึ้น และยังได้มีการส่งเสริมให้สังคมมีนวัตกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ

         เศรษฐกิจในรูปแบบเดิมผ่านมาใช้แรงงานและเงินทุนเป็นปัจจัยหลัก เพื่อใช้การผลิตสินค้า และการจำหน่าย แต่แนวโน้มในอนาคตจะกลายเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเรื่องเหล่านี้เป็น หลัก คือ สารสนเทศ (information) และความรู้ (Knowledge) ในระดับที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อให้เกิดลักษณะเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติหลายประการเช่น ก่อให้เกิดผลิตภาพสูง, มีความเปลี่ยนแปลงและผันแปรอย่างรวดเร็ว, มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นในโครงสร้างองค์กร, ทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างประชาคม ไม่ว่าเป็นภาครัฐ, ภาคเอกชน, องค์กรเอกชน และที่สำคัญคือ สารสนเทศและความรู้ มีบทบาทสูงในระบบเศรษฐกิจของการสร้างมั่งคั่ง และงานอาชีพ ประชากรวัยทำงาน (Knowledge Worker)

         ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเป็นอย่างมาก อาทิ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การบริหารการจัดการตลอดจนการส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ หรือเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดกิจกรรมและมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

         ดังนั้น เศรษฐกิจของสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ จึงขึ้นอยู่กับ การผลิตการกระจายผลผลิต และการใช้ "สารสนเทศและความรู้" เป็นสำคัญ ซึ่งความรู้และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจต่อไป

สารคดีเกี่ยวกับเทคโนโลยี(คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่ที่เด็กไทยต้องรู้)

หมวดหมู่:หนังสือ
ประเภท:ชีวประวัติและความทรงจำ
ผู้ประพันธ์:คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่ที่เ
สิ่งหนึ่งในขณะนี้ กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตของเรา และดูเหมือนกำลังจะเข้ามีส่วนสำคัญ และอาจจะเป็นปัจจัยเสริม นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ไป แล้ว คงหนีไม่พ้นเจ้าเครื่องมือไฮเทคโนโลยี หน้าจอสี่เหลี่ยม อย่างเจ้า “คอมพิวเตอร์” ไปได้
คอมพิวเตอร์กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความรู้ความคิดของเยาวชนไทย ให้ก้าวไกลออกไป ซึ่งรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยหวังให้แต่ละครอบครัว น่าจะมีเจ้าคอมพิวเตอร์นี้ไว้อย่างน้อย 1 เครื่อง ในบ้าน รวมถึงโรงเรียนในชนบทห่างไกล เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองได้รู้จักมักคุ้นกับเครื่องมือการสอนสมัยใหม่นี้ มากขึ้น
อาจารย์เยาวลักษณ์ เวชศิริ วิทยากรแกนนำวิชาคอมพิวเตอร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) อาจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนวิชาคอมพิวเตอร์กับนักเรียนนั้น จะต้องมีการปรับพื้นฐานความรู้ของเด็กนักเรียนก่อน เนื่องจากนักเรียนบางคนยังไม่มีความรู้พื้นฐานในการใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนเลย
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่วิชาคอมพิวเตอร์จะให้ความรู้ในเรื่องของสิ่งที่ทันสมัยความรู้ ที่นอกเหนือจากที่เรียนในตำราแล้ว คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอน ในวิชาต่างๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเริ่มจากการให้เด็กนักเรียนได้รู้จักวิธีการสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อให้นักเรียนสามารถนำไปจัดทำสื่อการเรียนเนื้อหาในราย วิชาอื่นได้อีก อย่างเช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสิ่งมีชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นต้น โดยรูปแบบที่นักเรียนนำเสนอนั้น จะให้อิสระทางความคิดของนักเรียนเอง ครูมีหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางในเรื่องของการจัดทำโปรแกรมและการปรับปรุง ก่อนมีการนำเสนอเป็นชิ้นงานจริง
“ทุกรายวิชา นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอนและนักเรียนยังจะได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเอง หลังจากที่ครูได้ให้แนวทางในการจัดทำโปรแกรมนักเรียนมีโอกาสเสนอผลงานหน้า ชั้น และนำผลงานมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอ ในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งนักเรียนก็พอใจในผลงานของตนเองที่ได้ทำสื่อการเรียนการสอนในระดับหนึ่ง” อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าว
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะได้แนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนและการประเมินผลไปปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องเพื่อประยุกต์ใช้ในห้องเรียนได้แล้ว นักเรียนยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้นด้วย

บทความวิชาการ (Error Code คืออะไร ??? )

หมวดหมู่:หนังสือ
ประเภท:การ์ตูน & นิยายภาพ
ผู้ประพันธ์:Error Code คืออะไร ???
Error Code คืออะไร ???
บ่อย ครั้งที่การใช้งานคอมพิวเตอร์อาจเกิดความผิดพลาดบางประการขึ้นมาซึ่งแสดง เป็นรหัสความผิดพลาด หรือ Error Code แต่ผู้ใช้อย่างเราๆ กลับไม่ทราบว่ามันหมายถึงอะไร วันนี้เราจึงมีตัวอย่าง 49 Error Code มาฝากกันถ้าคุณใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์อยู่เป็นประจำละก็ ผมเชื่อว่าต้องเคยพบกับรายงานความผิดพลาดอย่าง Error 126, STOP: 0x0000007B (0xF741B84C,0xC0000034,0x00000000,0x00000000) หรือไม่ก็ Error 0x800a0099 ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ “บลูสกรีน” หรือแม้แต่แสดงผ่านแมสเสจ บ็อกซ์ ของวินโดวส์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น และแนะนำให้คุณแก้ปัญหาเบื้องต้นนี้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะสนใจและอ่านรายงานความผิดพลาดจนจบ เมื่อเจอกับข้อความ Error เข้า ส่วนใหญ่ก็จะไล่ปิดหน้าต่างหนีไปซะเลย ทำให้ปัญหาเหล่านั้นยังคงค้างคาอยู่ในเครื่อง และรอวันที่จะสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะส่วนของโปรแกรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องของคุณอีกด้วย ที่อาจจะเริ่มทำงานผิดปกติ แต่ผู้ใช้กลับไม่รู้ตัว เพราะมีเพียงซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเท่านั้น ที่จะทราบถึงปัญหาความผิดปกติเล็กน้อยที่เริ่มก่อตัวขึ้น ดังนั้น ถ้าวันใดที่คุณพบ Error Code หรือรายงานความผิดพลาดแจ้งขึ้นมาอีก แนะนำให้ทำความเข้าใจกับมันก่อน คุณอาจจะจดเอาไว้ในกระดาษ แล้วค่อยไปค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ทีหลัง

Error Code ไม่หน้ากลัวอย่างที่คิด
การ คิดไปล่วงหน้าเองว่า ตัวคุณจะรับมือกับความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนคอมพิวเตอร์ และวินโดวส์โดยลำพังไม่ไหวนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นการยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไปซักนิด เพราะถ้าคุณยังไม่ได้ลงมือทำ หรือแก้ปัญหาด้วยตนเองก็จะไม่รู้เลยว่า ทุกปัญหานั้นยังพอมีทางแก้ไข ถึงแม้บางทีจะไม่ได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ตามแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณรักษาข้อมูลสำคัญเอาไว้ได้เช่นกัน

เมื่อ วินโดวส์หรัสความผิดพลาดอย่าง Error Code หรือ Error Message ต่างๆขึ้นมาอย่าเพิ่งตกใจชัตดาวน์เครื่องแล้วหนีปัญหาไปนะครับ ถ้าเป็นหน้าจอบลูสกรีน แล้วมีตัวหนังสือเยอะๆ หรือตัวเลขฐาน 16 ที่คุณไม่รู้ความหมายนั้น ให้อ่านข้อมูลคร่าวๆ ที่เป็นการแจ้งความผิดพลาดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นให้จด Error Code หรืออาจจะเป็น Error Message ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอลงในกระดาษ คุณอาจใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพเอาไว้ เพื่อเก็บรายระเอียดต่างๆ ให้หมด การค้นหาคำตอบหรือความหมายของรหัสความผิดพลาดเหล่านั้นให้เริ่มต้นจาก Help ของวินโดวส์ก่อน ถ้าไม่พบข้อมูลที่ต้องการก็ให้ค้นหาจากเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูล เว็บไดเรกทอรีต่างๆโดยเฉพาะที่เว็บ http://support.microsoft.com นั้น เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ที่ควรเข้าไปใช้บริการบ่อยๆ เพราะเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์โดยตรง แต่บางที การค้นหาเอาตามเว็บบอร์ดไอทีต่างๆ อาจได้คำตอบเร็วกว่าที่คิด เพราะมีคนเข้าออกและผ่านเข้ามาตอบปัญหาให้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมคนหนึ่งละครับ ที่มักจะขอความช่วยเหลือจากที่นี่
วิจารณ์
หมวดหมู่:หนังสือ
ประเภท:ชีวประวัติและความทรงจำ
ผู้ประพันธ์:คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่
สิ่งหนึ่งในขณะนี้ กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตของเรา และดูเหมือนกำลังจะเข้ามีส่วนสำคัญ และอาจจะเป็นปัจจัยเสริม นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ไป แล้ว คงหนีไม่พ้นเจ้าเครื่องมือไฮเทคโนโลยี หน้าจอสี่เหลี่ยม อย่างเจ้า “คอมพิวเตอร์” ไปได้
คอมพิวเตอร์กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความรู้ความคิดของเยาวชนไทย ให้ก้าวไกลออกไป ซึ่งรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยหวังให้แต่ละครอบครัว น่าจะมีเจ้าคอมพิวเตอร์นี้ไว้อย่างน้อย 1 เครื่อง ในบ้าน รวมถึงโรงเรียนในชนบทห่างไกล เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองได้รู้จักมักคุ้นกับเครื่องมือการสอนสมัยใหม่นี้ มากขึ้น
อาจารย์เยาวลักษณ์ เวชศิริ วิทยากรแกนนำวิชาคอมพิวเตอร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) อาจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนวิชาคอมพิวเตอร์กับนักเรียนนั้น จะต้องมีการปรับพื้นฐานความรู้ของเด็กนักเรียนก่อน เนื่องจากนักเรียนบางคนยังไม่มีความรู้พื้นฐานในการใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนเลย
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่วิชาคอมพิวเตอร์จะให้ความรู้ในเรื่องของสิ่งที่ทันสมัยความรู้ ที่นอกเหนือจากที่เรียนในตำราแล้ว คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอน ในวิชาต่างๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเริ่มจากการให้เด็กนักเรียนได้รู้จักวิธีการสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อให้นักเรียนสามารถนำไปจัดทำสื่อการเรียนเนื้อหาในราย วิชาอื่นได้อีก อย่างเช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสิ่งมีชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นต้น โดยรูปแบบที่นักเรียนนำเสนอนั้น จะให้อิสระทางความคิดของนักเรียนเอง ครูมีหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางในเรื่องของการจัดทำโปรแกรมและการปรับปรุง ก่อนมีการนำเสนอเป็นชิ้นงานจริง
“ทุกรายวิชา นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอนและนักเรียนยังจะได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเอง หลังจากที่ครูได้ให้แนวทางในการจัดทำโปรแกรมนักเรียนมีโอกาสเสนอผลงานหน้า ชั้น และนำผลงานมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอ ในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งนักเรียนก็พอใจในผลงานของตนเองที่ได้ทำสื่อการเรียนการสอนในระดับหนึ่ง” อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าว
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะได้แนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนและการประเมินผลไปปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องเพื่อประยุกต์ใช้ในห้องเรียนได้แล้ว นักเรียนยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้นด้วย

บทความวิชาการ(การใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี)

May 11, '08 12:43 AM
สำหรับ ทุกคน
หมวดหมู่:หนังสือ
ประเภท:ศิลปะและการถ่ายภาพ
ผู้ประพันธ์:การใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี
ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์" กลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนทำงานอย่างเราไม่ใช้ ไม่ได้แล้ว ดังนั้นควรรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตา จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
ส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ ปวดหลัง หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมาก
อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีกจะใช้คอมพิวเตอร์ครั้งต่อไปก็อย่า ลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้

5 วิธีที่นิยมใช้ป้องกันตัวเอง จากฟิชชิ่ง และข้อความอี-เมลหลอกลวง

5 วิธีที่นิยมใช้ป้องกันตัวเอง จากฟิชชิ่ง และข้อความอี-เมลหลอกลวง

          ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ประกาศแจ้งเตือนอี-เมลหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าไมโครซอฟท์จะมอบเงินแก่ผู้ที่ ส่งอี-เมลจากไมโครซอฟท์ต่อให้เพื่อน เนื้อหาว่า
"บริษัท ไมโครซอฟท์ ทำการสำรวจการตลาดผู้ที่ใช้ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตของไมโครซอฟท์ โดยแจกเงินให้กับผู้ส่งอี-เมลต่อไปให้เพื่อน" อย่างแพร่หลายต่อๆ กันไป

          ซึ่งอาจสร้าง ความเข้าใจผิดแก่ผู้ได้รับ อี-เมล ซึ่งไมโครซอฟต์ไม่มีนโยบายในการสำรวจข้อมูลหรือมอบเงินในลักษณะดังกล่าว แก่ผู้ใช้งานซอฟต์แวร์โซลูชั่นหรือโปรแกรมใดๆ หากผู้ใดได้รับอี-เมลนี้อย่าหลงเชื่อ หรือส่งต่อให้เพื่อนโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงหรือเสี่ยงต่อระบบรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ คำเตือนในการระมัดระวังฟิชชิ่ง และข้อความอี-เมลหลอกลวงพึงปฏิบัติเบื้องต้น

          ควรระมัดระวังอี-เมลที่ถามข้อมูลส่วนบุคคลของเรา ที่ถามชื่อ วันเกิด หมายเลขประกันสังคม ชื่อผู้ใช้-รหัสผ่านอี-เมล หรือข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอื่นใดๆ ให้ถือเป็นการหลอกลวงเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าอี-เมลนั้นจะส่งมาจากผู้ใดก็ตาม

          หากมีเหตุผล ใดๆ ที่เชื่อได้ว่าอี-เมลดังกล่าวอาจถูกต้องตามกฎหมาย โปรดอย่าตอบกลับอี-เมลนั้น หรือคลิกไฮเปอร์ลิงค์ใดๆ แต่ให้ใช้การคัดลอกและวาง URL ของเว็บหรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของบริษัทเพื่อสอบถามข้อมูลแทน โดยเราควรติดต่อผ่านช่องทางการสนับสนุนของบริษัทเพื่อยืนยันความถูกต้องตาม กฎหมาย

          ควรอ่านอี-เมลที่น่าสงสัยอย่างละเอียด อี-เมลที่ใช้คำไม่ถูกต้อง มีการพิมพ์ผิด หรือมีประโยค เช่น "นี่ไม่ใช่เรื่องตลก" หรือ "โปรดส่งต่อข้อความนี้ไปให้เพื่อนของคุณ" โดยทั่วไปจะถือว่าเป็นอี-เมลหลอกลวง บางครั้งชื่อบริษัทหรือแบรนด์อาจสะกดผิดหรือไม่ถูกต้อง เช่น ใช้คำว่า Windows Hotmail (แทนการใช้ Windows Live Hotmail)

          ควรเก็บรักษารหัสอี-เมลให้ดี กำหนดรหัสผ่านที่ไม่สามารถเดาได้ ใช้อักขระมากกว่า 7 ตัว และมีการใช้อักขระตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข และอักขระพิเศษ เช่น สัญลักษณ์ @ หรือ # ผสมกัน และควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ

          หาก ได้รับการแจ้งเตือนจากฝ่ายบริการลูกค้า Microsoft ซึ่งขอยืนยันคำขอของคุณในการเปลี่ยนรหัสผ่าน ดังที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และคุณยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสผ่านของคุณ แสดงว่ามีผู้กำลังพยายามเข้าใช้บัญชี Hotmail ควรเปลี่ยนรหัสผ่านทันที โดยเข้าไปที่ http://account.live.com หรือใน Hotmail คลิกตัวเลือก และคลิกดูและแก้ไข ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ คุณจะได้รับพร้อมท์ให้ลงชื่อเข้าสู่ระบบอีกครั้ง เมื่อคุณดำเนินการ ให้มองหา "ข้อมูลการตั้งค่ารหัสผ่านใหม่" ใต้ชื่อของคุณที่ด้านบน เปลี่ยนทั้งรหัสผ่านและคำถามเฉพาะ/คำตอบเฉพาะของคุณ เนื่องจากข้อมูลทั้งสองอาจถูกเปิดเผย

          การดำเนินการ หากคิดว่ามีผู้เข้าอี-เมล และลงชื่อ ID ดูไม่น่าไว้ใจ หรือได้รับอี-เมลน่าสงสัยซึ่งพยายามจะขอยืนยันการเปลี่ยนรหัสผ่านที่คุณไม่ ได้อนุญาต ให้เปลี่ยนรหัสผ่านตัวเองทันที

          อีกทั้งให้ความร่วมมือในการแจ้งการหลอกลวงใหม่ หากใช้ Hotmail ก็สามารถเลือกรายการแบบหล่นลงที่อยู่ข้างๆ "อีเมลขยะ" แล้วเลือก "รายงานการหลอกลวงฟิชชิ่ง" อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญโปรดอย่าตอบกลับผู้ส่ง

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554




 ชื่อ   สิรวิชญ์    พิมล     ชื่อเล่น   ฟุุ้ง

      เรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  ชั้นปีที่ 3 

  คณะบัญชีและการจัดการ  สาขาการจัดการ

  รหัสนิสิต    5201091172

 ชอบ  เที่ยว ทะเล นำตก เดินเขา กินอาหารร่อยๆ   


ชอบเพลงนี้ 






มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 



มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ที่ตั้งเดิม ซึ่งตั้งอยู่ที่ 269 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม บนพื้นที่ 197 ไร่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการศึกษาชั้นสูงไปสู่ภูมิภาค ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เมื่อปีพุทธศักราช 2517 และได้แยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศภายใต้ชื่อ "มหาวิทยาลัยมหาสารคาม" เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 111 ตอนที่ 54 ก นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของ ประเทศไทย