สิรวิชญ์ พิมล ( ฟุ้ง )
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ความสุขลดลงจริงหรือไม่
บทความโจรอินเตอร์เน็ต...
บทความโจรอินเตอร์เน็ต...
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์ เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว
วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
เป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว
Online Social Networking : อาวุธลับสำหรับธุรกิจล้ำสมัย!!!
Online Social Networking : อาวุธลับสำหรับธุรกิจล้ำสมัย!!!
ณ วันนี้ นักธุรกิจหลายท่าน คงเริ่มเล็งเห็นอิทธิพลของปรากฎการณ์หนึ่งในโลกไซเบอร์นั่น คือ online social networking หรือ เน็ตเวิร์กทางสังคมออนไลน์ คือ การรวมตัวกันของผู้เล่นเน็ตเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเข้มข้น จนสร้างเป็นชุมชนออนไลน์ที่จะนำไปใช้กับการดำเนินงานของกิจการ
เวปไซด์ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้น Facebook Youtube Linkedin หรือ Digg เป็นต้น ซึ่งมีผู้ที่เข้ามาร่วมในเน็ตเวิร์กนี้ นับเป็นล้าน ๆ จนเป็นอาวุธลับทางธุรกิจที่ทรงพลังของหลาย ๆ กิจการ
แต่ยังมีคำถามว่า แล้ว social networking เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ในเบื้องต้นอาจจะกล่าวได้ว่า เน็ตเวิร์กนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยสร้างความ สัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการในหลากหลายมุมมองได้ อาทิ ลูกค้า คู่ค้า หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่อาจจะเข้ามาให้ความคิดเห็นและมุมมองใหม่ ๆ กับกิจการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นต่อไปใน อนาคต
เน็ตเวิร์กนี้จึงมักเป็นเทคนิคที่ใช้เสริมเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ที่กิจการมีอยู่แล้ว ซึ่งมักจะเป็นการผลักดันให้เวปไซด์ของกิจการมีปริมาณการเข้าใช้บริการมาก ขึ้น ได้ข้อมูลต่าง ๆ สำหรับการตอบสนองและกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ สร้างความคุ้นเคยผูกพันและความภักดีต่อกิจการ สอบถามข้อมูลความคิดเห็นกับผลิตภัณฑ์หรือบริการและสำหรับสารพัดกิจกรรมในการ ทำตลาดการตลาดออนไลน์ต่าง ๆ อย่างได้ผล
คุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้เน็ตเวิร์กทางสังคมนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีลักษณะของการเป็น viral นั่นคือสามารถแตกตัวเติบโตและถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชนต่าง ๆ ได้อย่ารวดเร็ว คล้ายกับกลยุทธ์แบบปากต่อปาก (word of mouth) แต่สามารถออนไลน์เรียลไทม์ทันทีทันใด แถมยังเป็นลักษณะแบบสองทางที่ผู้บอกและผู้รับข่าวสารสามารถพูดคุยซักถามกัน อย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ยิ่งมีความเชื่อถือสูงมากขึ้นไปอีก ก่อให้เกิดผลกระทบทางการส่งเสริมการตลาดอย่างมาก
นอกจากนี้ยังช่วยให้เจาะกลุ่มเฉพาะเจาะจงได้อย่างตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ของกิจการอีกด้วย เนื่องจากแต่ละกลุ่มก้อนเน็ตเวิร์กนั้นล้วนแล้วแต่มีลักษณะเฉพาะตัวที่จะดึง ดูดให้กลุ่มคนที่มีลักษณะร่วมบางอย่างเข้ามาปฏิสัมพันธ์กัน
อาทิ www.linkedin.com ที่เป็นเหล่งร่วมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในแต่ละวงการเอาไว้มากมาย โดยผู้ที่จะเข้าร่วมในเน็ตเวิร์กดังกล่าวจะต้องกรอกแบบฟอร์มคุณสมบัติต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้เสมือนหนึ่งเข้าสมัครงานตามกิจการใหญ่ ๆ ทีเดียว ซึ่งเมื่อองค์กรใดต้องการสรรหาบุคลากรหัวกะทิในแต่ละด้าน หรือแม้แต่ต้องการเลือกสรรพันธมิตรธุรกิจที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ องค์กรก็สามารถเข้ามาติดต่อได้จากภายในเน็ตเวิร์กดังกล่าวได้
ประโยชน์ของเวปเน็ตเวิร์กนี้เรียกว่า เป็นการนำเอากลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) คือการที่กิจการเข้าถึงและนำไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก เข้ามาร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกิจการได้อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยสำรวจตลาดแบบดั้งเดิม
คัดลอกมาจากคอลัมแยบยลกลยุทธ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ผู้เขียนบทความ รศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค
ณ วันนี้ นักธุรกิจหลายท่าน คงเริ่มเล็งเห็นอิทธิพลของปรากฎการณ์หนึ่งในโลกไซเบอร์นั่น คือ online social networking หรือ เน็ตเวิร์กทางสังคมออนไลน์ คือ การรวมตัวกันของผู้เล่นเน็ตเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเข้มข้น จนสร้างเป็นชุมชนออนไลน์ที่จะนำไปใช้กับการดำเนินงานของกิจการ
เวปไซด์ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้น Facebook Youtube Linkedin หรือ Digg เป็นต้น ซึ่งมีผู้ที่เข้ามาร่วมในเน็ตเวิร์กนี้ นับเป็นล้าน ๆ จนเป็นอาวุธลับทางธุรกิจที่ทรงพลังของหลาย ๆ กิจการ
แต่ยังมีคำถามว่า แล้ว social networking เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ในเบื้องต้นอาจจะกล่าวได้ว่า เน็ตเวิร์กนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยสร้างความ สัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการในหลากหลายมุมมองได้ อาทิ ลูกค้า คู่ค้า หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่อาจจะเข้ามาให้ความคิดเห็นและมุมมองใหม่ ๆ กับกิจการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นต่อไปใน อนาคต
เน็ตเวิร์กนี้จึงมักเป็นเทคนิคที่ใช้เสริมเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ที่กิจการมีอยู่แล้ว ซึ่งมักจะเป็นการผลักดันให้เวปไซด์ของกิจการมีปริมาณการเข้าใช้บริการมาก ขึ้น ได้ข้อมูลต่าง ๆ สำหรับการตอบสนองและกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ สร้างความคุ้นเคยผูกพันและความภักดีต่อกิจการ สอบถามข้อมูลความคิดเห็นกับผลิตภัณฑ์หรือบริการและสำหรับสารพัดกิจกรรมในการ ทำตลาดการตลาดออนไลน์ต่าง ๆ อย่างได้ผล
คุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้เน็ตเวิร์กทางสังคมนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีลักษณะของการเป็น viral นั่นคือสามารถแตกตัวเติบโตและถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชนต่าง ๆ ได้อย่ารวดเร็ว คล้ายกับกลยุทธ์แบบปากต่อปาก (word of mouth) แต่สามารถออนไลน์เรียลไทม์ทันทีทันใด แถมยังเป็นลักษณะแบบสองทางที่ผู้บอกและผู้รับข่าวสารสามารถพูดคุยซักถามกัน อย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ยิ่งมีความเชื่อถือสูงมากขึ้นไปอีก ก่อให้เกิดผลกระทบทางการส่งเสริมการตลาดอย่างมาก
นอกจากนี้ยังช่วยให้เจาะกลุ่มเฉพาะเจาะจงได้อย่างตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ของกิจการอีกด้วย เนื่องจากแต่ละกลุ่มก้อนเน็ตเวิร์กนั้นล้วนแล้วแต่มีลักษณะเฉพาะตัวที่จะดึง ดูดให้กลุ่มคนที่มีลักษณะร่วมบางอย่างเข้ามาปฏิสัมพันธ์กัน
อาทิ www.linkedin.com ที่เป็นเหล่งร่วมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในแต่ละวงการเอาไว้มากมาย โดยผู้ที่จะเข้าร่วมในเน็ตเวิร์กดังกล่าวจะต้องกรอกแบบฟอร์มคุณสมบัติต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้เสมือนหนึ่งเข้าสมัครงานตามกิจการใหญ่ ๆ ทีเดียว ซึ่งเมื่อองค์กรใดต้องการสรรหาบุคลากรหัวกะทิในแต่ละด้าน หรือแม้แต่ต้องการเลือกสรรพันธมิตรธุรกิจที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ องค์กรก็สามารถเข้ามาติดต่อได้จากภายในเน็ตเวิร์กดังกล่าวได้
ประโยชน์ของเวปเน็ตเวิร์กนี้เรียกว่า เป็นการนำเอากลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) คือการที่กิจการเข้าถึงและนำไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก เข้ามาร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกิจการได้อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยสำรวจตลาดแบบดั้งเดิม
คัดลอกมาจากคอลัมแยบยลกลยุทธ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ผู้เขียนบทความ รศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค
อินเทอร์เน็ต : บทบาทต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทยในอนาคต
อินเทอร์เน็ต : บทบาทต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทยในอนาคต
่
ธารพรรษ สัตยารักษ์ ผู้ช่วยอธิการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่ได้ให้ความกรุณา มาสร้างสรรค์พื้นที่หน้ากระดาษตรงนี้ให้มีความหลากหลายโดยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ อินเทอร์เน็ตเพื่อการพัฒนาการศึกษาในประเทศไทย ที่มีความเคร่งขรึมในเนื้อหาและการนำเสนอ แต่นับว่าน่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในวงการการศึกษาของไทยไม่น้อยทีเดียว ********************************************* เมื่อ วันอาทิตย์ที่16 มกราคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้ารับฟังการบรรยายโดย ท่าน ดร. รุ่ง แก้วแดง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ในหัวข้อ " บทบาทครูยุคใหม่ กับ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ" ณ วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่ แม้ว่าผมจะไม่เชี่ยวชาญ หรือ สันทัดในเรื่องการปฎิรูปการศึกษา แต่หลังจากการ บรรยาย ผมได้เข้าใจในเจตนา และเนื้อหาของ พรบ. ฉบับนี้มากยิ่งขึ้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดใน พรบ. ฉบับนี้ อยู่ในหมวด 4 ซึ่งครูจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนจากครูเป็นศูนย์กลางมาเป็นการสอนโดยนัก เรียนเป็นศูนย์ กลาง นั่นคือจะต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและนัก เรียน การสอนจะต้องเป็น ไปในลักษณะการฝึกให้นักเรียนเรียนจากสภาพจริง ฝึกให้ปฎิบัติจริงมากกว่าที่จะสอนแบบให้เด็กท่องจำ พรบ. ฉบับนี้ให้ความสำคัญการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการศึกษาไม่ใช่เสร็จสิ้นหลังจากที่ผู้เรียนได้รับใบประกาศ นียบัตร หรือ ปริญญาบัตร พรบ. ฉบับนี้จะมีผลกระทบต่อคนไทยทั้ง 60 ล้านคน และท่าน ดร. รุ่งได้คาดหวัง ว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปีนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ผมมองเห็นว่า (และมีความหวังว่า) ในอนาคตข้างหน้า เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยี (Internet and Technology) มาช่วยในการปฏิรูปวิธีการเรียนการสอนได้ เพราะอินเทอร์เน็ต ได้สร้างโอกาสและมีจุดเด่นในหลายด้านในการส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ไม่สามารถทำได้เช่นในอดีต โดยผมจะ มองวิธีการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้ อินเทอร์เน็ตส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนให้หลากหลาย ตรงกับความสนใจและความถนัดของผู้ เรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเรียนและพัฒนาได้เต็มศักยภาพ วิธีการสอนในอดีตและปัจจุบันเป็นการสอนให้นัก เรียนทุกๆ คนเรียนเหมือนๆ กัน และถ้าเรายังใช้วิธีการสอนอย่างนี้เรื่อยไป ในอนาคตเราจะไม่สามารถสร้าง บุคคลอัจฉริยะในแต่ละด้านได้ เพราะการจัดการศึกษาแบบนี้เปรียบเหมือนการสอนนักเรียนที่เรียกว่า "Mass Education" ซึ่งไม่ได้สร้างจุดเด่นให้เกิดในตัวผู้เรียนแต่ละบุคคล แต่อินเทอร์เน็ตที่ประสบความสำเร็จ ในทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมาความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และสามารถตอบสนองความต้องการให้ แต่ละบุคคลที่เราเรียกกันว่า "Customization" เหมือนเช่น บริษัท Dell Computer สหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบ ความสำเร็จอย่างสูงในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอุปกรณ์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ (Specification) ตามความต้อง การของผู้บริโภคแต่ละคน วิธีการดังกล่าวนี้น่าจะมีรูปแบบซึ่งสามารถนำไปปรับเปลี่ยนเพื่อใช้ในการ ปฏิรูป การศึกษา โรงเรียนในอนาคตจะต้องเปิดวิชาเลือกเสรีให้ผู้เรียนมากขึ้น นักเรียนชายไม่จำเป็นจะต้องมานั่ง เรียนเย็บปักถักร้อยเหมือนแต่ก่อน (แต่ถ้ามีนักเรียนชายบางกลุ่มอยากเรียน ก็คงไม่มีใครห้าม) เป็นต้น แต่นักเรียนจะมีสิทธิในการเลือกเรียนในวิชาที่ตนสนใจ และถนัด และโรงเรียนจำเป็นจะต้องสนับสนุนให้ นักเรียนผู้นั้นพัฒนาเต็มตามศักยภาพ มาลองดูสิครับว่า อินเทอร์เน็ตจะช่วยเราได้อย่างไร โรงเรียนในอนาคต (สำหรับบางประเทศได้มีโรงเรียนอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว) จะต้องสร้างเครือข่ายการ เรียนรู้ให้กว้างออกไปมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน ห้องสมุดของโรงเรียนเท่านั้น การเรียนจะต้องออก ไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง หากแต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายเช่นนั้น อย่างไรก็ตามอินเทอร์เน็ตได้ช่วยให้ นักเรียนได้เห็น ได้เรียนรู้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น(ถึงแม้จะไม่มากที่สุด) เพราะเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) ได้ช่วยให้เห็นภาพเคลื่อนไหว ได้ยินเสียง แม้จะไม่สัมผัส ได้กลิ่น หรือ ลิ้มรสได้ ที่สำคัญมัลติมีเดียได้สร้างความบันเทิงในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เหมือนอย่างที่ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้พูดถึงคำว่า Play + Learn = เพลิน ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน มัลติมีเดียได้สร้างปรากฏ การณ์ที่เราเรียกว่า "Interactive" หรือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสื่อการสอนหรือกับผู้เรียนคนอื่นๆ ทำให้ ผู้เรียนสนุกและเพลินกับการเรียนรู้ เพราะว่าเขาไม่ได้ถูกยัดเยียดให้ท่องจำในสิ่งที่เขาไม่สนใจ แต่ได้เรียน ได้ค้นคว้าในสิ่งที่เขาสนใจ ตัวอย่างสมมติ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียนคนหนึ่งอาจจะสนใจเรื่อง วิวัฒนาการของเครื่องบิน ครูวิทยาศาสตร์ที่ดีคนหนึ่งก็พยายามอธิบายกลไกการทำงานของเครื่องบินว่าบิน ได้อย่างไร เมื่อนักเรียน เริ่มเข้าใจดีแล้ว เขาก็จะถามต่อไปยากขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณครูผู้ใจดีอาจจะไม่สามารถตอบได้ดีนัก อย่างไรก็ ตามที่โรงเรียนแห่งนั้นมีการให้บริการอินเทอร์เน็ต ครูคนดังกล่าวจึงแนะนำให้นักเรียนให้เข้าไปศึกษาใน เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบิน ซึ่งครูได้รวบรวมมา แล้วก็ให้นักเรียนคนดังกล่าวทำการค้นคว้า และ ให้ทำรายงานสรุป เมื่อผู้เรียนได้เข้าไปศึกษาในเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็ ได้เห็นภาพเคลื่อนไหว กลไกการทำงาน ต่าง ๆ ซึ่งยากจะอธิบายโดยปากเปล่า เมื่อคลิกไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องบินก็จะมีคำบรรยาย นอกจากนี้ยัง ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ที่จัดทำเว็บไซต์ หรือผู้เรียนจากทั่วทุกมุมโลก ใน Forum หรือ Web Board กระบวนการเรียนการสอนแบบนี้จึงเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์ กลาง โดยมีครูเป็นผู้คอยชี้ แนะแนวทาง เป็นผู้ช่วยแก้ปัญหา ชี้ทางสว่างให้กับเด็ก และมีวิธีการประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้อย่าง เหมาะสม ณ โรงเรียนแห่งเดิม ในชั่วโมงสันทนาการหรือชั่วโมงว่าง นักเรียนคนหนึ่งซึ่งเป็นเซียนหมากรุกที่เก่ง ที่สุดในโรงเรียน ได้รับคำแนะนำจากคุณครู ให้นักเรียนลองเข้าไปแข่งหมากรุกผ่านทางอินเทอร์เน็ตร่วมกับผู้ เล่นจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการพัฒนาสมองของผู้เล่นให้เข้าใกล้ศักยภาพมากที่สุด และที่สำคัญเป็นการสอนให้นักเรียน รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เพราะไม่มีวันที่นักเรียนผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดไป ซึ่ง ถือว่าคุณครูได้สอดแทรกจริยธรรมให้กับผู้เรียน และตรงกับเป้าหมายของพรบ. ที่ต้องการให้ครูปลูกฝังจริย ธรรมในทุกวิชาที่สอน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนในอนาคตที่ผมคาดหวัง จะยังคงมีอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนเดิม ไม่ว่าคุณครู เพื่อน ๆ ห้องเรียน สนามกีฬา และอื่น ๆ เพราะการเรียนผ่านทางจอคอมพิวเตอร์ไม่อาจจะมาทดแทนการเรียน ในโรงเรียน ได้ในทุก ๆ เรื่อง หรือ ทุก ๆ โอกาส มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จะต้องมีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น นอกจาก นี้การเรียนรู้ในหลาย ๆ เรื่อง จำเป็นต้องมีการปฏิบัติ มีการฝึกในสถานที่จริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่นการทดลองในวิชาทางวิทยาศาสตร์ หรือ การเล่นฟุตบอล (การเล่นเกมส์ฟุตบอลในคอมพิวเตอร์ คงไม่ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หรือให้เหงื่อออกได้เท่ากับเล่นในสนามจริง) ดังที่กล่าวมาแล้วว่าโรงเรียนในอนาคตจะมีวิชาให้เลือกเรียนหลากหลายมากขึ้น วิธีหนึ่งที่จะสนับสนุน หลักการดังกล่าวก็คือ การเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต ระหว่างโรงเรียนทุกแห่ง ตลอดจนชุมชนความรู้ เช่น กลุ่ม เกษตรกร กลุ่มนักประพันธ์ หรือแม้กระทั่งสถานประกอบการต่าง ๆ และสร้างระบบการเรียนการสอนผ่านทาง อินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) ซึ่งจากที่โรงเรียนแห่งหนึ่งเคยมีครูแค่ 30-40 คน จะกลายเป็นมีครูนับแสน นับล้านคน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าปริมาณมากเช่นนี้จะทำให้การเรียนการสอนมี คุณภาพมากขึ้น หากแต่เพียงเป็นการเพิ่มโอกาสให้มีการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้เชี่ยวชาญใน แต่ละด้านหรือที่อาจะเรียกว่า "ครูแห่งชาติ หรือ ครูต้นแบบ" ไปสู่ครูและนักเรียนทั่วประเทศ โรงเรียนในอนาคตจะมีการกำหนด คาบการเรียนผ่านระบบดังกล่าว และนักเรียนสามารถเข้ามาเลือกเรียนวิชาต่าง ๆ มากมาย ด้วยความเต็มใจ และพอใจ โดยมีครูจากสถาบันที่อยู่ไกลออกไปเป็นผู้ให้ความรู้ ให้งานกับนักเรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเมินผล ขณะที่ครูในโรงเรียนเดียวกับนักเรียนคนนั้นจะมีลักษณะเป็นเหมือนผู้อำนวย ความสะดวก ประสานงานกับครูจากห้องเรียนเสมือน และ เป็นครูที่ปรึกษาของนักเรียน หากท่านใดสนใจระบบการเรียน แบบห้องเรียนเสมือนนี้ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ http://vhs.concord.org ซึ่งเป็น โครงการ Virtual High School ในสหรัฐอเมริกา ครูทุกคนโปรดอย่ากังวลว่า เทคโนโลยีจะมาทดแทนท่านได้ อินเทอร์เน็ตจะเป็นเพียงแหล่งข้อมูล และ ชุมชนบน Cyber Space อินเทอร์เน็ตอาจจะเปรียบดั่งห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือหนังสือเล่มที่ใหญ่ที่สุด ในโลก แต่ก็มิอาจจะมาชดเชยกับมันสมองมนุษย์ได้ มิอาจจะมาทดแทนกับความทุ่มเทกายใจ ความรักที่มีต่อ ศิษย์หรือ คุณค่าของความเป็นครูได้ ที่สำคัญครูคือผู้ที่คอยอบรมบ่มนิสัย สร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่ เทคโนโลยีไม่สามารถทำได้ แม้แต่ บิล เกตส์ บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลกและเชื่อมั่นในเทคโนโลยีมากที่สุดคน หนึ่ง ยังกล่าวไว้ในหนังสือ "The Road Ahead" ว่า ไม่มีทางที่เทคโนโลยีจะมาแทนที่ครูได้ หากแต่เป็นเพียง เครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งสำหรับครูในอนาคต อินเทอร์เน็ต ยังมีบทบาทในด้านการสร้างความสัมพันธ์ ที่ดี ระหว่างครูกับผู้เรียนมากขึ้น ทุก ๆ คนทราบ ดีว่า จุดอ่อนของเด็กไทยคือ ความอาย ไม่กล้าแสดงออก โดยเฉพาะในเวลาเรียน ถ้านักเรียนคนไหนยกมือถาม ครู เพื่อน ๆ ก็จะมองหน้านักเรียนคนนั้นเหมือนตัวประหลาด ประกอบกับครูซึ่งสอนโดยยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการเรียนการสอนจึงเป็นไปในลักษณะการสื่อสารแบบทางเดียว และการสอนให้จำมากกว่าสอนให้มีการ วิเคราะห์ และใช้เหตุผล การเรียนการสอนของไทยน่าจะให้ความสำคัญกับการให้คะแนนนักเรียนโดยดูจากการมี ส่วนร่วมในห้องเรียน ให้นักเรียนมีความกล้าในสิ่งที่ควรมากขึ้น โรงเรียนในอนาคต จะมีการให้ E-mail กับผู้ เรียน ครู และ เจ้าหน้าที่ทุกคน สิ่งนี้จะช่วยทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่าง ผู้เรียนกับผู้สอน หากผู้เรียนไม่เข้าใจ ในเนื้อหา หรือ มีเรื่องขอคำปรึกษา จะสามารถเขียน E-mail ติดต่อโดยตรงกับครูท่านนั้น ครูจะช่วยเหลือนักเรียน ได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็คอยกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนมีบทบาทในห้องเรียนมากขึ้นหลังจาก ที่ครูและศิษย์เริ่มมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น นอกจากนี้นักเรียนทุกคน รวมทั้งผู้ปกครอง มีโอกาสติดต่อกับครูใหญ่ ได้ง่ายขึ้น และจะให้ ความคิดเห็น ข้อแนะนำต่าง ๆ เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น อินเทอร์เน็ต มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของ พรบ. การ ศึกษาฉบับนี้ เพราะโรงเรียนในอินเทอร์เน็ต เปิดสอนตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาเรียนและมีหลัก สูตรให้เลือกมากมายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในวัยทำงานซึ่งต้องการเพิ่ม ความรู้ความสามารถในสายงานที่ ตนเองรับผิดชอบ รวมทั้งผู้สูงอายุซึ่งอยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น เรียนการทำอาหารใหม่ ๆ ให้หลาน ๆ รับประทาน ซึ่งถือว่าเป็นความสุขอีกแบบของผู้สูงอายุ หากท่านสนใจลองเข้าไปชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.smartplanet.com หรือที่ http://www.ecollege.com การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตน่าจะเหมาะสมกับ การเรียนรู้เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมหรือการศึกษาต่อเนื่อง (Continuing Education) และไม่อาจจะมาทดแทนการ เรียนในรั้วโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยได้ เพราะโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย นอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนทาง วิชาการแล้ว ยังเป็นสนามการเรียนรู้ชีวิตการอยู่ในสังคม การทำกิจกรรม การรู้จักบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม การได้ฝึกปฏิบัติจริง และที่สำคัญคือ มีครูผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับศิษย์ และศิษย์ทุกคนก็ต้องการความรักความ ห่วงใยจากครู แต่ครูจะต้องพยายามใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือใหม่ ๆ มาใช้ในการสอน เครื่องมือดังกล่าวไม่ จำเป็นจะต้องเป็นอินเทอร์เน็ต หากแต่เป็นสิ่งใด ๆ ก็ตามที่สามารถหาไดได้ และตอบสนองต่อการความต้องการ การเรียนรู้ของผู้เรียนและพัฒนาผู้เรียนได้เต็มศักยภาพ สุดท้ายนี้ผมขอฝากคำถามไว้กับคุณครู ผู้บริหาร ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องที่เคารพทุกท่านว่า ท่านพร้อมแล้วหรือยังครับกับการปฎิรูปการศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ ที่สุดในรอบศตวรรษนี้ ขอบคุณครับ ผมทราบว่าทุกท่านพร้อมแล้ว
อ.ธารพรรษ สัตยารักษ์ |
ผู้ช่วยอธิการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยเมืองหาดใหญ่ |
เชิญแสดงความคิดเห็นได้ที่ tharnpas@hcc.ac.th |
(จาก หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2543 คอลัมน์ Cyber Being หน้า 32) |
เว็บ เซอร์วิส ( Web Service) บริการใหม่บนอินเตอร์เน็ต
เว็บ เซอร์วิส ( Web Service) บริการใหม่บนอินเตอร์เน็ต |
กนกวรรณ แสงจันทร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ |
ถ้าจะพูดไปแล้ว คนเราในแต่ละวัน มีภาระ หน้าที่มากมาย ในแต่ละบทบาท ไม่ว่าจะเป็นการงาน หรือครอบครัว การแบ่งเวลาให้ลงตัว เหมาะสม เป็นสิ่งที่แต่ละคน จะต้องจัดการและหาจุดที่ดีที่สุดของตนเอง แต่อีกสิ่งที่ขาดเสียมิได้คือการหาความรู้ในแต่ละวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหยุดหาความรู้ หรือหยุดที่จะศึกษา เมื่อนั้นเราก็เหมือนกับคนที่กำลังก้าวถอยหลัง และสำหรับชีวิตคนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันความรู้ที่เราสามารถศึกษาได้ง่าย และใกล้ตัวก็คือเทคโนโลยีแห่งการสื่อสารที่เราเรียกกันว่า อินเทอร์เน็ตนั่นเอง บริการ อย่างหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต ที่คนนักพัฒนาเว็บไซต์ไทยกำลังตื่นตัวที่จะศึกษาและมีเริ่มมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องคือเว็บเซอร์วิส..มันมีข้อดียังไงบ้าง เว็บเซอร์วิสก็คือเว็บที่ให้บริการข้อมูลให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ที่ต้องการข้อมูลนั้น โดยตัวเว็บเซอร์วิส อาจจะมีข้อมูลของตัวเองเพื่อให้บริการ ผู้อื่นอย่างเดียวหรืออาจจะเอาข้อมูลจากเว็บเซอร์วิสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ เว็บเซอร์วิส มาเป็นข้อมูล เพื่อให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ อีกที ก็ได้ ฉะนั้นตัวเว็บเซอร์วิสก็จะช่วยในการติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ โดยอัตโนมัติ เช่นถ้าเราต้องการตรวจสอบเรื่องสกุลเงิน เราก็สามารถเข้าใช้บริการเว็บไซต์ที่ให้บริการเรื่องสกุลเงิน ซึ่งเว็บไซต์นี้ก็สามารถที่จะใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น เว็บเซอร์วิสอื่น ๆ ทั่วโลกที่เกี่ยวกับสกุลเงินนำมาเปรียบเทียบเพื่อให้กับผู้ที่เข้าใช้บริการ อีกทีหนึ่ง ซึ่งการติดต่อจะใช้เทคโนโลยีเดียวกับเวิลด์ไวด์เว็บที่เราใช้กันอยู่ แต่เราจะใช้มาตรฐานที่เรียกว่า SOAP ตัวอย่างถ้าเราเปิดเว็บไซต์ปกติเราจะได้หน้าเว็บ กลับมาเป็นนามสกุล HTML แต่ถ้าเราใช้มาตรฐาน SOAP เราจะได้ข้อมูลกลับมาเป็น XML ในส่วนของการให้บริการเว็บเซอร์วิส ถ้าต่อไปนักเขียนโปรแกรมบนเว็บได้สร้างเว็บในลักษณะเว็บเซอร์วิสทั้งหมดต่อ ไปเราก็จะได้เป็นเว็บเซอร์วิสที่สามารถต่อยอดไปเรื่อย ๆ ขนาดมหึมา และจะทำให้เว็บโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ หรือคนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์จากเว็บเซอร์วิสที่มีอยู่แล้วมากยิ่งขึ้น แต่วันนี้พื้นที่ช่างน้อยเสียเหลือเกิน หากต้องการรู้เรื่อง เว็บเซอร์วิส เพิ่มเติม อย่าลืมติดตามบทความหน้านะคะ |
สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
ในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรวมทั้งเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูล (Information and Communications Technology) มีผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กลายเป็น "เศรษฐกิจแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้" (Knowledge-based economy)
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างฐานความรู้ในสังคม เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมให้ดีขึ้น และยังได้มีการส่งเสริมให้สังคมมีนวัตกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ
เศรษฐกิจในรูปแบบเดิมผ่านมาใช้แรงงานและเงินทุนเป็นปัจจัยหลัก เพื่อใช้การผลิตสินค้า และการจำหน่าย แต่แนวโน้มในอนาคตจะกลายเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเรื่องเหล่านี้เป็น หลัก คือ สารสนเทศ (information) และความรู้ (Knowledge) ในระดับที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อให้เกิดลักษณะเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติหลายประการเช่น ก่อให้เกิดผลิตภาพสูง, มีความเปลี่ยนแปลงและผันแปรอย่างรวดเร็ว, มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นในโครงสร้างองค์กร, ทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างประชาคม ไม่ว่าเป็นภาครัฐ, ภาคเอกชน, องค์กรเอกชน และที่สำคัญคือ สารสนเทศและความรู้ มีบทบาทสูงในระบบเศรษฐกิจของการสร้างมั่งคั่ง และงานอาชีพ ประชากรวัยทำงาน (Knowledge Worker)
ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเป็นอย่างมาก อาทิ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การบริหารการจัดการตลอดจนการส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ หรือเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดกิจกรรมและมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น เศรษฐกิจของสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ จึงขึ้นอยู่กับ การผลิตการกระจายผลผลิต และการใช้ "สารสนเทศและความรู้" เป็นสำคัญ ซึ่งความรู้และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างฐานความรู้ในสังคม เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมให้ดีขึ้น และยังได้มีการส่งเสริมให้สังคมมีนวัตกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ
เศรษฐกิจในรูปแบบเดิมผ่านมาใช้แรงงานและเงินทุนเป็นปัจจัยหลัก เพื่อใช้การผลิตสินค้า และการจำหน่าย แต่แนวโน้มในอนาคตจะกลายเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเรื่องเหล่านี้เป็น หลัก คือ สารสนเทศ (information) และความรู้ (Knowledge) ในระดับที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อให้เกิดลักษณะเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติหลายประการเช่น ก่อให้เกิดผลิตภาพสูง, มีความเปลี่ยนแปลงและผันแปรอย่างรวดเร็ว, มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นในโครงสร้างองค์กร, ทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างประชาคม ไม่ว่าเป็นภาครัฐ, ภาคเอกชน, องค์กรเอกชน และที่สำคัญคือ สารสนเทศและความรู้ มีบทบาทสูงในระบบเศรษฐกิจของการสร้างมั่งคั่ง และงานอาชีพ ประชากรวัยทำงาน (Knowledge Worker)
ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเป็นอย่างมาก อาทิ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การบริหารการจัดการตลอดจนการส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ หรือเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดกิจกรรมและมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น เศรษฐกิจของสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ จึงขึ้นอยู่กับ การผลิตการกระจายผลผลิต และการใช้ "สารสนเทศและความรู้" เป็นสำคัญ ซึ่งความรู้และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจต่อไป
สารคดีเกี่ยวกับเทคโนโลยี(คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่ที่เด็กไทยต้องรู้)
สารคดีเกี่ยวกับเทคโนโลยี(คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่ที่เด็กไทยต้องรู้) |
หมวดหมู่: | หนังสือ |
ประเภท: | ชีวประวัติและความทรงจำ |
ผู้ประพันธ์: | คอมพิวเตอร์สื่ออิเล็กทรอสิกส์ยุคใหม่ที่เ |
สิ่งหนึ่งในขณะนี้ กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตของเรา และดูเหมือนกำลังจะเข้ามีส่วนสำคัญ และอาจจะเป็นปัจจัยเสริม นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ไป แล้ว คงหนีไม่พ้นเจ้าเครื่องมือไฮเทคโนโลยี หน้าจอสี่เหลี่ยม อย่างเจ้า “คอมพิวเตอร์” ไปได้
คอมพิวเตอร์กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความรู้ความคิดของเยาวชนไทย ให้ก้าวไกลออกไป ซึ่งรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยหวังให้แต่ละครอบครัว น่าจะมีเจ้าคอมพิวเตอร์นี้ไว้อย่างน้อย 1 เครื่อง ในบ้าน รวมถึงโรงเรียนในชนบทห่างไกล เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองได้รู้จักมักคุ้นกับเครื่องมือการสอนสมัยใหม่นี้ มากขึ้น
อาจารย์เยาวลักษณ์ เวชศิริ วิทยากรแกนนำวิชาคอมพิวเตอร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) อาจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนวิชาคอมพิวเตอร์กับนักเรียนนั้น จะต้องมีการปรับพื้นฐานความรู้ของเด็กนักเรียนก่อน เนื่องจากนักเรียนบางคนยังไม่มีความรู้พื้นฐานในการใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนเลย
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่วิชาคอมพิวเตอร์จะให้ความรู้ในเรื่องของสิ่งที่ทันสมัยความรู้ ที่นอกเหนือจากที่เรียนในตำราแล้ว คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอน ในวิชาต่างๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเริ่มจากการให้เด็กนักเรียนได้รู้จักวิธีการสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อให้นักเรียนสามารถนำไปจัดทำสื่อการเรียนเนื้อหาในราย วิชาอื่นได้อีก อย่างเช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสิ่งมีชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นต้น โดยรูปแบบที่นักเรียนนำเสนอนั้น จะให้อิสระทางความคิดของนักเรียนเอง ครูมีหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางในเรื่องของการจัดทำโปรแกรมและการปรับปรุง ก่อนมีการนำเสนอเป็นชิ้นงานจริง
“ทุกรายวิชา นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอนและนักเรียนยังจะได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเอง หลังจากที่ครูได้ให้แนวทางในการจัดทำโปรแกรมนักเรียนมีโอกาสเสนอผลงานหน้า ชั้น และนำผลงานมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอ ในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งนักเรียนก็พอใจในผลงานของตนเองที่ได้ทำสื่อการเรียนการสอนในระดับหนึ่ง” อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าว
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะได้แนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนและการประเมินผลไปปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องเพื่อประยุกต์ใช้ในห้องเรียนได้แล้ว นักเรียนยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้นด้วย
คอมพิวเตอร์กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความรู้ความคิดของเยาวชนไทย ให้ก้าวไกลออกไป ซึ่งรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยหวังให้แต่ละครอบครัว น่าจะมีเจ้าคอมพิวเตอร์นี้ไว้อย่างน้อย 1 เครื่อง ในบ้าน รวมถึงโรงเรียนในชนบทห่างไกล เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองได้รู้จักมักคุ้นกับเครื่องมือการสอนสมัยใหม่นี้ มากขึ้น
อาจารย์เยาวลักษณ์ เวชศิริ วิทยากรแกนนำวิชาคอมพิวเตอร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) อาจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนวิชาคอมพิวเตอร์กับนักเรียนนั้น จะต้องมีการปรับพื้นฐานความรู้ของเด็กนักเรียนก่อน เนื่องจากนักเรียนบางคนยังไม่มีความรู้พื้นฐานในการใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนเลย
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่วิชาคอมพิวเตอร์จะให้ความรู้ในเรื่องของสิ่งที่ทันสมัยความรู้ ที่นอกเหนือจากที่เรียนในตำราแล้ว คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอน ในวิชาต่างๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเริ่มจากการให้เด็กนักเรียนได้รู้จักวิธีการสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อให้นักเรียนสามารถนำไปจัดทำสื่อการเรียนเนื้อหาในราย วิชาอื่นได้อีก อย่างเช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสิ่งมีชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นต้น โดยรูปแบบที่นักเรียนนำเสนอนั้น จะให้อิสระทางความคิดของนักเรียนเอง ครูมีหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางในเรื่องของการจัดทำโปรแกรมและการปรับปรุง ก่อนมีการนำเสนอเป็นชิ้นงานจริง
“ทุกรายวิชา นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอนและนักเรียนยังจะได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเอง หลังจากที่ครูได้ให้แนวทางในการจัดทำโปรแกรมนักเรียนมีโอกาสเสนอผลงานหน้า ชั้น และนำผลงานมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอ ในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งนักเรียนก็พอใจในผลงานของตนเองที่ได้ทำสื่อการเรียนการสอนในระดับหนึ่ง” อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าว
อาจารย์เยาวลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะได้แนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนและการประเมินผลไปปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องเพื่อประยุกต์ใช้ในห้องเรียนได้แล้ว นักเรียนยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้นด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)